bookmark_borderพฤติกรรมที่ทำให้เรามีพุง

ถึงแม้ว่าในสมัยปัจจุบันนี้ การออกกำลังกาย หรือการลดน้ำหนักนั้นจะได้รับความนิยมมากแค่ไหนก็ตาม แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถออกกำลังกายหรือลดน้ำหนักได้ เพราะการใช้ชีวิตของคนเรานั้นค่อนข้างที่จะมีความแตกต่างกันออกไป บางคนอาจมีเวลาเหลือเพื่อที่จะได้ออกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ แต่กับบางคนเวลาอาจเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ

พฤติกรรมที่ทำให้เรามีพุง ในการทำงาน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในสมัยปัจจุบันนี้การลดน้ำหนัก้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่นั้นให้ความสนใจ

แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าเราจะออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักมากแค่ไหนก็ตาม แต่ในความเป็นจริงเราอาจมีพฤติกรรมที่ทำแล้วส่งผลให้เราอ้วน หรือมีพุงได้ง่าย ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ถือเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างที่จะทำและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันจะทำให้เรานั้นอ้วนได้ง่าย อย่างไรก็ตาม เรามาดูกันดีกว่า

มีพฤติกรรมไหนบ้างที่เราทำแล้วอาจทำให้เรามีพุง หรืออ้วนได้ง่าย เผื่อว่าคนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยง และป้องกันตนเองได้ ไปดูกันเลย 

พฤติกรรมการติดน้ำอัดลม เนื่องจากน้ำอัดลมนั้นจะเต็มไปด้วยแก๊สที่ค่อนข้างเยอะ และยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เรานั้นอ้วนลงพุงได้ง่ายอีกด้วย ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกามากแค่ไหนก็ตาม แต่หากเรายังดื่ม หรือติดการดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำอยู่นั้น ก็อาจทำให้การลดพุงของเราไม่เป็นผลดีได้ อีกทั้งยังอาจทำให้รอบเอวของเรานั้นเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย 

พฤติกรรมความเครียด หลายคนอาจจะรู้ทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า ความเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอ้วน เพราะการที่เรามีความเครียดที่สะสมมากเกินไปก็อาจทำให้เราอ้วนได้ เนื่องจากหากเราเครียดร่างกายจะทำการผลิตสารที่ทำให้เรามีความอยากอาหารที่สูงมากขึ้น  หวยดี   โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารมัน ๆ ทอด ๆ หรือของหวานนั่นเอง ดังนั้น การที่เรามีพฤติกรรมความเครียดบ่อย ๆ ก็อาจทำให้เรานั้นเสี่ยงต่อการอ้วนลงพุงได้เช่นกัน 

พฤติกรรมการทานโซเดียมมากเกินไป แน่นอนว่าโซเดียมอาจส่งผลให้ร่างกายของเรานั้นเกิดการบวมได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้ร่างกายของเรานั้นเกิดการกักเก็บปริมาณน้ำไว้เยอะและไปเกาะอยู่ตามรอบเอวได้ ดังนั้น พฤติกรรมนี้ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่มักที่จะชอบทำกัน เพราะเราก็ไม่สามารถที่จะทำการหลีกเลี่ยงอาหารรสชาติดังกล่าวได้ แต่ถึงอย่างไรก็ควรที่จะเลือกทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปเพื่อป้องกันร่างกายไม่ให้มีการกักเก็บปริมาณน้ำเยอะเกินไป 

bookmark_border3 วิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

ปัจจุบันนี้เชื่อว่าสาว ๆ ส่วนใหญ่มักที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดประจำเดือนกันอย่างแน่นอน เพราะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่สาว ๆ ส่วนใหญ่นั้นมักที่จะพบเจอกันในทุก ๆ เดือน ซึ่งปัจจุบันนี้สาว ๆ ส่วนใหญ่ที่เวลามีประจำเดือน ต่างคนก็จะมีอาการที่แตกต่างกันออกไป เกิดเป็นผู้หญิงนี้มันช่างลำลากยิ่งนัก แต่ก็นั่นแหละ

มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องรับมือในทุก ๆ เดือน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเป็นประจำเดือน นอกจากอาการปวดท้องแล้ว ยังพบว่าสาว ๆ ส่วนใหญ่อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น อาการขี้หงุดหงิด อาการเครียด อาการหิวตลอดเวลา เบื่อง่าย ขี้เหวี่ยง รวมไปถึงอาการอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งอาการต่าง ๆ

วิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือน เหล่านี้มักที่จะพบเจอในส่วนน้อยเท่านั้น แต่ทั้งนี้ สำหรับสาว ๆ คนไหนที่กำลังมีปัญหากับการเป็นประจำเดือน โดยเฉพาะอาการปวดท้อง วันนี้เราก็จะมาแนะนำวิธีการบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนด้วยวิธีง่าย ๆ รับรองได้เลยว่าหากใครที่มีอาการปวดท้อง แล้วทำตาม

วิธีดังกล่าวจะต้องช่วยบรรเทาอาการได้ดีอย่างแน่นอน จะมีวิธีไหนกันบ้างนั้น ไปดูกันเลย 

การดื่มน้ำเยอะ ๆ การที่ร่างกายของเรานั้นได้รับปริมาณน้ำเยอะ ๆ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างการมีประจำเดือน เพราะการดื่มน้ำเยอะ ๆ นั้น เชื่อหรือไม่ว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้เป็นอย่างดี ซึ่งน้ำจะช่วยกระตุ้นกระบวนการไหลเวียนเลือดได้เป็นอย่างดี ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่น ๆ จะยิ่งดี เพราะจะได้ช่วยในการป้องกันไม่ให้เลือดของเราเกาะตัวเป็นก้อนนั่นเอง ฉะนั้นแล้ว สำหรับใครที่มีอาการปวดท้องบ่อย ๆ ในระหว่างการมีประจำเดือน แนะนำให้เลือกดื่มน้ำเยอะ ๆ รับรองว่าช่วยได้อย่างแน่นอน 

การดื่มน้ำขิง ถึงแม้ว่าน้ำขิงจะมีส่วนช่วยในการแก้อาการหวัด หรือแก้อาการเจ็บคอได้เป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่าสรรพคุณอีกอย่างหนึ่งของน้ำขิงคือ สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีรสชาติที่ไม่ถูกปากใครหลาย ๆ คน หรืออาจมีรสชาติที่เผ็ดร้อน  alpha88     แต่สรรพคุณนั้นเยอะมาก ๆ ซึ่งน้ำขิงนั้นจะมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยลดการเกร็งของกล้ามเนื้อได้ แถมยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดดีอีกด้วย ดังนั้น หากร่างกายของเราได้รับน้ำขิงอุ่น ๆ เข้าไปรับรองได้เลยว่าคุณจะลืมอาการปวดท้องไปเลย 

การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ก็ย่อมส่งผลดีต่อร่างกาย สาว ๆ คนไหนที่มักมีอาการปวดท้องปะจำเดือน ของบอกเลยว่าการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นประจำ ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถลดอาการปวดประจำเดือนได้ ฉะนั้น ถึงแม้ว่าในระหว่างที่เราเป็นประจำเดือนจะทำให้อาหารนั้นดูน่ารับประทาน แต่ทางที่ดีเราก็ควรที่เลือกทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์เพื่อไม่ส่งผลกระทบต่ออาการปวดประจำเดือนของเรา 

bookmark_border3 ข้อดีที่จะเกิดขึ้น เมื่อคุณงดน้ำตาล

รู้หรือไม่ว่าน้ำตาล เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเรานั้นเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งปกติแล้วอาหารรสชาติหวาน เป็นอาหารที่หลาย ๆ คนนั้นชื่นชอบกันเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นเมนูโปรดของใครหลาย ๆ คนอีกด้วย

เมื่อคุณงดน้ำตาล จนส่งผลให้คนนั้นเสพติดการรับประทานอาหารรสชาติหวานเลยก็ได้ ถึงแม้ว่าอาหารที่มีรสชาตหวานจะเป็นอาหารรสชาติโปรดของใครหลาย ๆ

คนนั้น รู้หรือไม่ว่าหากเราทานมาก ๆ ก็อาจส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อร่างกายของเราได้ ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลให้ร่างกายมีโอกาสเสี่งต่อการเกิดโรคได้ง่าย การทานหวานเป็นประจำนั้น ยังอาจทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบต่าง ๆ โดยตรงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่กำลังชื่นชอบการทานอาหารที่มีรสชาติหวาน อยากให้ทุกคนรู้ว่า อาหารรสชาติหวานนั้นไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายเสมอไป ดังนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับข้อดีที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกาย

เมื่อเรางดทานอาหารรสชาติหวาน หรือการทานงดน้ำตาล จะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของเราบ้าง ไปดูกันเลย 

ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าน้ำตาล เป็นหนึ่งในสารอาหารที่สำคัญในการล่อเลี้ยงมะเร็ง และยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้ลุกลามจนกลายเป็นโรคมะเร็งได้ ยิ่งถ้าเราทานมาก ๆ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้หยุดการทานน้ำตาล ก็จะทำให้ร่างกายของเรานั้นตัดต้นต่อในการเจริญเติบโตของมะเร็งได้ แถมยังช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้อีกด้วย ดังนั้น หากเราทำแบบนี้เป็นประจำก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพร่างกายเรา

ช่วยให้สุขภาพตับดีขึ้น นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจส่งผลเสียต่อตับของเราแล้วนั้น รู้หรือไม่ว่าน้ำตาลก้เป้นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำร้ายตับของเราได้เช่นกัน ดังนั้น การลด หรือเลิกการทานอาหารที่มีรสชาติหวาน การลดน้ำตาล จะช่วยให้ร่างกายของเรามีสุขภาพตับที่ดีมากยิ่งขึ้น  และยังส่งผลให้ตับของเรานั้นทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถลดการตกค้างของสารพิษ ทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย 

ช่วยให้ฟันแข็งแรงมากขึ้น รู้หรือไม่ว่าน้ำตาล เป็นอาหารชั้นยอดขอแบคทีเรียเลยก็ว่าได้ ยิ่งถ้าเราทานเยอะ ๆ ก็จะยิ่งทำให้แบคทีเรียในช่องปากของเรานั้นเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปาก อย่างไรก็ตาม การลดน้ำตาล จะช่วยให้เราลดปัญหาช่องปากได้ดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ลดกลิ่นปาก ลดเหลือกอักเสบ รวมไปถึงคราบหินปูนต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคือ หากเรางดการทานก็จะยิ่งทำให้สุขภาพช่องปากของเรานั้นดีมากยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้ฟันแข็งแรงอีกด้วย

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย  มั่งมีหวย

bookmark_borderดนตรีบำบัดกับโรคซึมเศร้า

ดนตรีบำบัดกับโรคซึมเศร้า หลายครั้งเรามักจะเข้าใจและได้รับความรู้มาว่าดนตรีนั้นสามารถช่วยบำบัดและทำให้จิตใจผ่อนคลายได้ ในบางครั้งที่เรานั้นต้องการลดความเครียดหรือหลีกหนีความวุ่นวาย ต้องการความสงบเราก็มักจะใช้ดนตรีเสียงเพลงนั้นขับกล่อมให้เรานั้นได้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดและความกังวลได้มากขึ้น

แต่การทำดนตรีบำบัดนั้นหลายคนอาจจะเข้าใจว่าสามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงเราได้ฟังเพลงที่ชอบหรือฟังเพลงที่มีเนื้อหาดนตรีที่ผ่อนคลายก็สามารถทำให้เรานั้นลดความเครียดได้ แต่ความจริงแล้วนั้นในการทำดนตรีบำบัดจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการทำเพราะความแตกต่างในการบำบัดนั้นมีความแตกต่างออกไปในตัวแต่ละบุคคลนั่นเอง

สำหรับดนตรีทั่วไปและดนตรีบำบัดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในส่วนของสปามิวสิคที่หลายๆคนนั้นมักจะเข้าใจว่าการทำสปามิวสิคือดนตรีบำบัดแต่ความเป็นจริงนั้นดนตรีเหล่านี้มีหลาประเภทเพราะไม่ได้ทำให้จิตใจผ่อนคลายเท่านั้นในบางครั้งก็อาจจะปลุกใจให้หึกเหิมก็ได้และสปามิวสิคนั้นเป็นเพียงดนตรีกลุ่มเล็กที่ทำให้เกิดความผ่อนคลาย

ดังนั้นแล้วเพื่อสุขภาพจึงถูกแยกออกจากดนตรีบำบัดอย่างสิ้นเชิงและในการทำดนตรีบำบัดการมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำดนตรีบำบัดด้วย

ดนตรีบำบัดโรคซึมเศร้า สามารถช่วยให้โรคซึมเศร้าหายได้ แต่ก็จะต้องมีการวิเคราะห์ก่อนว่า โรคซึมเศร้าเกิดจากอะไรและถ้าสามารถฟังดนตรีและผ่อนคลายได้ ก็จะเรียกว่าการผ่อนคลายด้วยตนเองและยังเป็นโรคซึมเศร้าในระยะที่สามารถรักษาได้ แต่ถ้าหากมีการฟังเพลงหรือฟังดนตรีและเกิดการซึมเศร้ามากขึ้น

ซึ่งดนตรีหรือเพลงอาจจะกระทบกระเทือนจิตในของผู้เป็นโรคซึมเศร้าในอาการเหล่านี้  หวยฮานอยดึก   ก็อาจจะต้องพบจิตเวชเพื่อหาสามารถและดูว่าการรักษาด้วยดนตรีบำบัดได้ไหมและก็จะมีการส่งตัวผู้ป่วยไปให้กับนักดนตรีบำบัด ทั้งนี้การใช้ดนตรีบำบัดสำหรับรักษาอาการของโรคซึมเศร้า ก็จะมีการใช้ดนตรีและการพูดคุยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและหาวิธีการรับมือต่อโรคซึมเศร้าหรือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยให้ได้

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวันการรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่างๆและรวมถึงความเครียดต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการโรคซึมเศร้านั้น การกินยาที่แพทย์สั่งและรักษาด้วยดนตรีบำบัดนั้นเป็นสิ่งที่จะต้องทำควบคู่กัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีและสามารถที่จะหายขาดจากการซึมเศร้านั้นๆได้

อย่างไรก็ตามสำหรับโรคซึมเศร้านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากในช่วงวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน การรักษาด้วยดนตรีบำบัดจึงเป็นอีกทางหนึ่งในการรักษาโรคซึมเศร้า ถึงแม้ว่าดนตรีบำบัดนั้นจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้หายขาดจาการซึมเศร้าได้อย่าง100% แต่ดนตรีบำบัดนั้นก็จะทำให้การรักษาโรคซึมเศร้านั้นเกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดได้

bookmark_borderอาหารป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

อาหารป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเราก็ได้มีมาแนะนำอยู่หลายตัวเลยมาเริ่มกันอาหารชนิดแรกกันเลยก็คือ อาหารที่มีแคลเซียมสูง มีการวิจัยว่าอาหารที่มีแคลเซียมสูงสามารถที่จะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดีเลยทีเดียวและอาหารที่มีแคลเซียมสูงมีอะไรบ้างเช่น ผักใบเขียว ปลาตัวเล็กๆที่กินได้ทั้งตัวได้ หรือจะเป็นพวก โยเกิร์ตต่างๆนมต่างๆพวกนี้ก็เป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูง

โดยเราสามารถที่จะทานได้เยอะแยะเลยและที่สำคัญถ้าเราทานแคลเซียมไปแล้วอย่างเดียวเราจะต้องมีวิตามินดีด้วยเพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมวิตามินดีได้จากไหนก็ได้จากแสงอาทิตย์โดยเฉพาะประเทศไทยยแสงอาทิตย์ร้อนแรงมากก็แนะนำว่าช่วง07.00-09.00โมงเช้า หรือว่า ช่วง16.00-17.00โมงเย็นก็จะเป็นแสงอาทิตย์ที่ไม่รุณแรงเกินไปก็ได้ประโยชน์เพียงพอแล้วแหละวันนึงโดนแดดประมาณสัก15นาทีจะได้วิตามินที่เพียงพอ

อาหารชนิดที่สองก็คือ กลุ่มของอาหารที่มีทั้ง ไฟเบอร์และแม็กนีเซียมสูง โดยอาหารในกลุ่มที่มีไฟเบอร์และแม็กนีเซียมสูงจะทำให้การขับถ่านของเราดีอุจจาระของเราก็จะไหลลื่นลงไปเป็นก้อนนดีแล้วอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ถามว่าอาหารพวกนี้คืออะไรก็คือกลุ่มพวกข้างโอ๊ตพวกธัญพืชนั่นเองต่างๆ

สามารถที่จะรับประทานได้หลากหลายเลยแนะนำไฟเบอร์ต่อวันประมาณ90กรัมต่อวันถ้าไม่อยากคำนวณก็ไม่เป็นไรเอาเป็นว่ามื้อนึงของเรามีอาหารอยู่หนึ่งจานเราแบ่งเป็น4ส่วน2ส่วนก็คือไฟเบอร์หรือผักนั่นเองอีก1ส่วนเป็นคาร์โบไฮเดรตก็คือข้าวแป้งอีก1ส่วนนี่เป็นโปรตีนเพราฉะนั้นแล้วในหนึ่งจานของเรากินผักครึ่งจานแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

อาหารอย่างที่สามก็คือ ถั่ว โดยถั่วจะมีทั้งไฟเบอร์ทั้งโปรตีนชนิดดีมีวิตามินบีวิตามินอีพวกนี้เขาจะมีสารที่ชื่อว่า ฟลาโวนอยด์  โดยจะเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดหนึ่งยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดีไม่ใช่เพียงมะเร็งของกลุ่มลำไส้ใหญ่เท่านั้นมะเร็งอะไรมันก็สามารถที่จะลดไม่ใช่รักษา

นอกจากนี้ ลด ในที่นี้หมายถึงว่า เราจะต้องป้องกันก่อนไม่ใช่เป็นแล้วไปกินถั่วมันจะหายแบบนี้ไม่ใช่นะต้องเข้าใจกันให้ดีๆ  กริลแอร์   ก็กินพวกนี้ก็จะได้พวกโปรตีนชั้นดีได้ทั้งไฟเบอร์ต่างๆววิตามินดีต่างๆก็ลองทานกันดู

อาหารชนิดที่สี่ก็คือ ผักผลไม้ที่มีสีสดใส กลุ่มนี้เขาเรียกว่าไฟโตเคมิคอลหมายความว่าเป็นสารอาหารที่มีความเป็นธรรมชาติสูง ซึ่งได้ให้สารอาหารต่างๆได้ดีและมีการวิจัยว่าอาหารที่ใกล้เคียงธรรมชาติถ้าเราทานเข้าไปโดนไม่ปรุงแต่งก็จะทำให้เรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับลดอักเสบของร่างกาย

bookmark_borderวิธีสังเกตอาการว่าคุณเป็นโรคเหนื่อยง่ายแล้วหรือยัง?

สำหรับโรคแรก ก็คือ โรคหัวใจวาย หรือ Congesti Heart Failure โรคนี้เกิดขึ้นจากการที่หัวใจของเราทำงานน้อยลงนั่นเองมันอาจจะเกิดปัจจัยต่างๆ  วิธีสังเกตอาการ  ที่มากระทบต่อหัวใจโดยส่วนใหญ่ที่สาเหตุที่พบก็เกิดจากหัวใจขาดเลือดนั่นเองพอหัวใจของเราขาดเลือดนานๆเข้า

หัวใจของเราก็จะทำงาผิดปกติไปทำงานได้น้อยลงพอหัวใจทำงานน้อยลงหัวใจมีหน้าที่ในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงแรงกายมันก็จะทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงร่างกายน้อยลงด้วยเช่นกันก็จะทำให้เราเหนื่อยง่ายไม่ว่าจะออกแรงเดินเข้าห้องน้ำก็เหนื่อยแล้วแค่หยิบขันน้ำขึ้นมาก็เหนื่อยแล้ว

นอกจากนี้แล้วถ้าหัวใจของเราทำงานช้าลงหรือว่าแย่ลงไปเรื่อยๆแล้วพวกน้ำพวกเลือดมันก็จะล้นไปที่ปอดก็จะทำให้มีอาการน้ำท่วมปอดก็จะทำให้นอนราบไม่ได้ขาบวมอันนี้ก็เป็นสัญญาณนึงว่าคุณจะเป็นโรคหัวใจ Congesti Heart Failureแล้วก็ได้ดังนั้นให้รีบไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป

สำหรับโรคที่สอง ก็คือ โรคโลหิตจาง หรือ Anemia ถือได้ว่าเป็นโรคที่พบกันได้บ่อยมาโดยปกติแล้วร่างกายของเราก็จะมีเม็ดเลือดแดงในการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงในส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อเรามีภาวะโลหิตจางก็จะทำให้เม็ดเลือดแดงลดลงเช่นกันออกซิเจนก็จะไปเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกายได้น้อยลงก็จะทำให้คุณเหนื่อยง่ายเวลาออกเหนื่อยนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว

ซึ่งภาวะโลหิตจางพบได้ในใครบ้างส่วนใหญ่ก็จะพบในผู้หญิงเจริญพันธุ์เพราะว่าผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ก็จะมีประจำเดือนยิ่งใครมีประจำเดือนยิ่งใครมีประจำเดือนมาเยอะหรือว่ารอบเดือนมาหลายวันก็จะส่งผลทำให้ภาวะโลหิตจางขาดเหล็กกันได้ง่าย

ดังนั้นก็จะพบในคนที่อายุเยอะก็ได้คนที่มีอายุมากๆก็จะมีเลือดออกในทางเดินอาหารไม่ว่าจะเป็นกระเพาะหรือว่าลำไส้ก็จะทำให้ซีดลงๆก็จะทำให้มีอาการเหนื่อยมากขึ้นนั่นเองแล้วเราจะรู้ได้ง่ายว่าเรามีภาวะซีดแล้วหรือเปล่าก็ดูง่ายๆว่าให้คุณสังเกตที่มือของตัวเอง

หากมือของเราแดงดีแบบนี้ก็ไม่ซีดแล้วหรือว่าให้ดูที่ดวงตาของเราให้หลานหรือว่าลูกดูก็ได้หรือว่าเราดูในกระจกก็ได้ลองกดตาลงมาถ้าข้างในตาของเราแดงดีก็ไม่ซีดปกติแต่ถ้าดูแล้วว่ามันหายไปเลยไม่เป็นสีแดงกลายมาเป็นสีขาวไปเลยอย่างนี้ก็กลายว่าดวงตาของคุณซีดแล้วและร่วมกับว่าคุณมีอาการหอบเหนื่อยง่ายให้รีบไปพบแพทย์อาจจะต้องได้รับการรักษาต่อไป

 

สนับสนุนโดย.    agplus

bookmark_borderเกล็ดความรู้วัคซีนไฟเซอร์

เกล็ดความรู้วัคซีนไฟเซอร์ สำหรับวัคซีน mRNA เราต้องกระตุ้นเพื่อให้เกิดภูมิเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัส covid 19 โดยอาศัย mRNA ฉีดเข้าไปในร่างกายของเราโดย mRNA นี้เป็น รหัสพันธุกรรมของไวรัสโควิด 19 ในช่วงที่มันสามารถเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างโปรตีนของหนามแหลมที่เรารู้จัก

แต่ถ้าหากว่าเราฉีดวัคซีน mRNA เข้าไปโดยตรงอย่างเดียวเข้าไปมันจะโดนร่างกายของเราทำลายจะไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ร่างกายของเราได้ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีไขมันมาหุ้มรอบมันนี่คือลักษณะของ mRNA วัคซีนก็คือมีไขมันมาหุ้มรอบตัว mRNA แล้วก็ฉีดเข้าสู่ร่างกายของเรา

ซึ่งไขมันที่หุ้มรอบจะเป็นตัวนำรหัสพันธุกรรมนี้เข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อเข้าไปกระตุ้นเพื่อให้เกิดโปรตีนหนามแหลมต่อไปเราจะพูดถึงการเก็บวัคซีน วัคซีนไฟเซอร์จะต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิ ลบ 60-80 องศา จะมีอายุยืนยาวจนกระทั่งหมดอายุของวัคซีน

แต่ถ้าหากเก็บไว้ในตู้เย็นธรรมดาอุณหภูมิ 2-8 องศา จะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือนแต่ถ้าหากเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง 25 องศา จะอยู่ได้ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะนำเอามาใช้ฉีดให้กับเราจะต้องนำเอาวัคซีนไฟเซอร์ออกมาวางอยู่ข้างนอก

เพื่อให้เกิดการละลายก่อน2 ชั่วโมงถึงจะทำการผสมด้วยน้ำเกลือขนาด 1.8 cc หลังจากนั้นก็ทำการผสม ในการผสมนั้นห้ามเขย่าแรงต้องมีการพลิกไปพลิกมาประมาณ 10 รอบโดยสีของสารในตัวของวัคซีนจะต้องออกเป็นสีขาวหรือขาวนวลและการผสมห้ามเขย่าแรง เพราะการเขย่าแรงจะเกิดการทำร้ายของตัววัคซีน

หลังจากที่ผสมด้วยน้ำเกลือ 1.8 cc ก็สามารถที่จะฉีดได้โดยคนหนึ่งฉีดได้ 0.3 cc ดังนั้นรวมกันเท่ากับใน 1 ขวดสามารถฉีดได้ 6 คน และหลังจากผสมน้ำเกลือแล้วห้ามทิ้งตัวยาเอาไว้เกิน 6 ชั่วโมง จะทำให้หมดอายุ ดังนั้นหลังจากผสมน้ำเกลือเสร็จแล้วต้องรีบฉีดให้หมดทันที 

การฉีดวัคซีนก็คล้ายกับการฉีดวัคซีนตื่นๆก็คือจะต้องฉีด 2 โดส โดยระยะห่างวัคซีนไฟเซอร์เข็ม 1 กับเข็ม 2 ห่างกันโดยประมาณ 3 สัปดาห์ และต่อมาก็จะเป็นวัคซีนตัวแรกของวัคซีนที่ต่อต้านCovid19 ที่ฉีดได้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12-16 ปี

โดยวัคซีน covid19 ตัวแรก WHO อนุมัติให้เป็นวัคซีนที่สามารถใช้ได้ในยามภาวะปกติในคนที่อายุมากกว่า 16 ปีขึ้นไปแต่ 12-16 ปี ก็ยังถือว่าเป็นวัคซีนที่ใช้ในยามฉุกเฉิน

นอกจากนี้ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์จากการศึกษาในระยะที่ 3 ก็พบว่าวัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าวัคซีนชนิดอื่นๆแต่อย่างไรก็ตามขอแนะนำนิดนึงว่า95% ในตอนนั้นเป็นสายพานก่อนหน้านี้อาจจะเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม 

ดังนั้นอาจจะเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เนื่องจากว่าสถานการณ์ปัจจุบันสายพันธุ์โดยส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์เดลต้า

 

สนับสนุนโดย.    aesexy

bookmark_borderสงสัยตัวเองติดเชื้อหรือยังวิธีดูแลตัวเองที่บ้าน

สำหรับหลายๆคนวันนี้คงจะทราบกันแล้วว่าอาการของโควิด-19มันเป็นยังไง สงสัยตัวเองติดเชื้อ มีอาการอะไรบ้างที่ทำให้เราต้องสงสัยโควิดปัญหาก็คือว่าทีนี่ถ้าคุณไปตรวจได้ก็จะดีถ้าคุณตรวจไม่ได้เพราะว่าที่โรงพยาบาลเขาไม่รับตรวจเนื่องจากว่าเขาไม่มีเตียงพอที่จะรับคนไข้เอาไว้จะต้องทำยังไง

ก่อนอื่นเราต้องอธิบายก่อนที่อเมริกาที่ระบาดมากๆเราก็ไม่ได้รับทุกคนเข้าโรงพยาบาลเพราะว่าเรารู้อยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นทุกคนที่จะต้องใช้ทรัพยากรในโรงพยาบาลถ้าเราทำแบบนั้นแน่นว่าดรงพยาบาลไม่พอบุคคลากรทางการแพทย์ทำงานไม่พอแน่นอน

การรักษาที่บ้านสำหรับคนที่มีอาการน้อยจึงเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำแล้วประเทศไทยอาจจะต้องปรับในส่วนนี้ในอนาคตจะทำให้มีการตรวจเพิ่มขึ้นแล้วก็ถ้าอาการไม่มากก็รักษาตัวที่บ้านได้กักตัวที่บ้านได้ ในกรณีที่เราสงสัยว่ามีการอาการได้กับโครวิดแล้วไม่ได้ตรวจเราจะทำยังไงบ้าง

ดังนั้นถ้าเราโทรไปแล้วเขาไม่รักตรวจไม่รับอะไรเลยวิธีขั้นแรกสุดก็คือถ้าเรารู้ว่าเราเริ่มมีอาการให้เราแยกตัวเองออกมาอยู่ตัวเดียวเช่นในบ้านหากอยู่กันหลายๆคนให้เราไปห้องห้องใดห้องหนึ่งก็ได้อยู่ไปเลยคนเดียวอย่าให้ใครเข้าไปใกล้ห้องนั้นอย่ารับประทานอาหารร่วมกันเด็ดขาดให้จัดอาหารแยกไว้หรือเอามาวางหน้าห้อง

เมื่อเขาไปแล้วเรากค่อยออกมากินหรือเอาเข้าไปกินในห้องของทุกอย่างล้างเองห้ามไปใช้รวมกับเขาแล้วเราใช้เสร็จแล้วเอามาวางหน้าห้องแล้วให้ครอบครัวตักอาหารมาให้แบบนี้เป็นต้นเราจะได้ไม่มีการแพร่เชื้อไปให้คนอื่นการซักเสื้อผ้าเราควรจะแยกต่างหากซักเองจะไปให้คนอื่นซักรวมกับคนอื่นเขา

เพราะว่าบางครั้งเราใส่กระตร้าเดียวกันคนอื่นมาจับคนที่เขาไม่ติดก็มีโอกาสติดกันได้ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาและอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากๆคือห้องน้ำถ้าคุณมีห้องน้ำสองห้องห้องนั้นก็เป็นของคุณไปเลยอย่าไปใช้ร่วมกันแต่ถ้ามีห้องเดียวให้บ่งเวลาใช้ให้ชัดเจน

แน่นอนแล้วว่าให้ทิ้งช่วงเวลาถ้าคุณเข้าไปในห้องน้ำเสร็จออกมาแล้วก็ควรจะเว้นระยะเวลาอย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมงให้อากาศทุกอย่างมันถ่ายเทก่อนเพราะว่าแน่นอนคนเข้าห้องน้ำมันจะมีกี่คนที่จะสวมใส่หน้ากากแล้วแน่นอนว่าตอนอาบน้ำก้ไม่มีใครที่จะใส่หน้ากาก

เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้คนอื่นเขาติดเชื้อมากขึ้นดังนั้นเราควรที่จะทำให้ภายในห้องน้ำมีอากาศถ่ายเทมาที่สุดก่อนที่จะเข้าไปทำภาระกิจ

 

สนับสนุนโดย.    สูตรหวยยี่กี หวยดี

bookmark_borderอาการสร้างภูมิคุ้มกันช่วงโควิด

ซึ่งเราจะมาคุยถึงเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันปัจจัยในช่วง covid 19 ถ้าเราคุยกันถึงโลกไปนี้หรือใครที่ได้ยินข่าว อาการสร้างภูมิคุ้มกันช่วงโควิด ในตอนนี้ก็จะเป็นในส่วนของวัคซีนแต่ว่ามันไม่ใช่มีแค่เพียงทางเดียวมันมีอยู่อีกหลายทางที่เราจะนำมาเสนอ 

อันดับแรกเลยก็คือ ภูมิคุ้มกันที่จมูกปากและก็คอ เพราะว่าจริงๆแล้วเชื้อไวรัส covid-19 นั้นมันไม่ทันกระโดดเข้าไปในเลือดทันทีดังนั้นเชื้อไวรัส covid-19 มันก็จะค่อยๆเข้าไปตามผิวหนังหรือว่าอยู่ตามโต๊ะตามช้อนกินข้าวของเราบ้างเราเอาเข้าปากหรือว่าสูดดมเข้าไปแบบนี้ 

พอเราเอาเข้าปากเสร็จแล้วมันก็จะเข้าไปที่จมูกของเราก่อนเมื่อมันเข้าไปทางจมูกแล้วมันก็จะค่อยๆไล่เข้าไปจนลงเข้าไปถึงปอดของเราเชื้อโรคนั้นมันมีขนาดเล็กมากแต่ระยะเวลามันช่างไกลแสนไกลสำหรับเชื้อโรคนั้นมันไกลมากเชื้อโรคนั้นมันมองไม่เห็นลองคิดดูว่าจากจมูกลงมาหาปอดมันไกลมากเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้นแล้วภูมิคุ้มกันที่ดีมากๆเลยสำหรับป้องกันเชื้อไวรัสโควิด 19 คือช่วงจมูกและปากก่อนที่จะถึงปอดของเราจึงจะต้องมีเมือกที่ดี เมือกในตรงนี้หมายถึงคือน้ำตาน้ำมูกและน้ำลายเราก็เป็นยาฆ่าเชื้อได้เหมือนกันและเมื่อที่คอบริเวณต่อมทอมซินAudit นอยด์โพธิ์ไทรนัดมันจะเป็นเยื่อบางๆที่คอยเราอยู่ตรงบริเวณหลอดอาหารของเราหรือแม้แต่หลอดลมของเราพวกนี้มันก็จะมีเมือกๆเยอะๆหรือแม้แต่ปอดของเรา

โดยเมือกกล่าวนี้มันก็จะเป็นเหมือนยาฆ่าเชื้อและจะมีอาวุธที่เป็นเม็ดเลือดขาวอยู่เยอะมากเลยเอาไว้ฆ่าเชื้อโรคไวรัส covid-19 ได้ ดังนั้นแล้วภูมิคุ้มกันอันดับแรกเลยก็คือที่บริเวณปอดเราจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นของทอดอาหารอะไรที่รับประทานแล้วเจ็บคออย่างเช่นพวกขนมกินเข้าไปแล้วมีความรู้สึกว่าเจ็บคอหรืออาหารที่กินเข้าไปแล้วมีความรู้สึกว่าร้อนในปากในคอน้ำมูกไหลเป็นประจำ

เวลากินอาหารประเภทนี้แล้วมีน้ำมูกไหลอยู่เป็นประจำในระยะนี้ให้คนหลีกเลี่ยงรับประทานของเรานั้นไปก่อนแบบนี้มันไม่โอเคฉะนั้นแล้วอาหารที่กินแล้วมันเกิดสร้างภูมิคุ้มกันที่บริเวณปลอดของเราคือพวกอาหารที่มีวิตามินซีเช่นพวกมะขามป้อมสมอมะขามส้มโอส้มเขียวหวานหรือว่าจะเป็นน้ำมะกรูดจะทำให้ช่วงบริเวณปากและลำคอสะอาดหรือแม้แต่การอมน้ำเกลือก็ฆ่าเชื้อโรคได้ก็จะทำให้เมื่อที่บริเวณป่าของเราดีขึ้นได้

ซึ่งจะทำให้เม็ดเลือดขาวของเราแข็งแรงที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เพียงเม็ดเลือดขาวอย่างเดียวเม็ดเลือดแดงน้ำเลือดน้ำเหลืองของเราแข็งแรงให้ได้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  huaydee

bookmark_borderกินกึ่งสุกกึ่งดิบ เน้นกินรสจัด ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

ของกินกึ่งสุกกึ่งดิบ

กินกึ่งสุกกึ่งดิบ ของกินที่ปรุงไม่สุกมักจะมีความเสี่ยงต่อการมีพยาธิ แล้วก็เชื้อโรคต่าง ๆที่อยู่ในอาหาร ไม่มีความร้อนในการจัดการ ฆ่าเชื้อ จะเพิ่มการเสี่ยงส่งผลให้เกิดโรคพยาธิ รวมทั้งกลายเป็นโรคทางเดินอาหาร ได้อีกด้วย

การเลือกกินอาหารรสจัดต่าง ๆ มากเกินความจำเป็น

– ของกินรสหวาน เมื่อรับประทานอาหารที่มีรสหวานบ่อย ๆ ก็จะก่อให้เกิดเบาหวาน ด้วยเหตุว่าการได้รับน้ำตาลเยอะเกินไป ร่างกายจะไม่อาจควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ และก็จะมีผลให้ร่างกายได้รับพลังงานมากจนเกินไป ทำให้เกิดโรคอ้วน และก็เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคไตได้อีกด้วย

– ของกินรสเผ็ดจัด ก็ทำให้มีการเกิดการระคายเคืองในกระเพาะได้อย่างเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ของกินรสเผ็ด พวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ ผงชูรส ซึ่งมีโซเดียมอยู่เยอะ จึงมีโอกาสเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคไต

– ของกินรสเค็ม เมื่อร่างกายมีจำนวนโซเดียมจากเกลือสูงขึ้น ร่างกายจะขับออกทางฉี่ นำมาซึ่งการทำให้พวกเรารู้สึกคอแห้ง หิวน้ำ ร้อนใน และอาจเป็นมากถึงขนาดสภาวะขาดน้ำได้ นอกเหนือจากนี้ รสเค็มจะมีผลให้เลือดภายในร่างกายไหลเวียนช้าทำให้ภาวะความดันโลหิตสูง

– ของกินรสเปรี้ยว ทำให้เสี่ยงท้องเสีย เป็นร้อนในได้ง่าย ๆ และก็ระบบน้ำเหลืองมีปัญหา ก็เลยทำให้แผลหายช้า

อาหารบำรุงสุขภาพ

  1. มานูก้าฮันนี่ หรือน้ำผึ้งมานูก้า

เป็นน้ำผึ้งแท้ 100% จากนิวซีแลนด์ที่ถูกเรียกว่า เป็นน้ำผึ้งที่เหมาะสมที่สุดในโลก โดยจากการศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำผึ้งมานูก้ามีคุณลักษณะที่เหนือกว่าน้ำผึ้งทั่ว ๆ ไปสำหรับเพื่อการบำรุงผิว ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยต้านทานแบคทีเรียแล้วก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งกว่านั้นในน้ำผึ้งมานูก้ายังประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 16 จำพวก รวมถึงแร่ต่าง ๆ จำนวนมาก ก็เลยมีส่วนช่วยสำหรับการเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยทำให้เกิดสมดุลในระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร แก้ท้องผูก บำรุงเลือด บรรเทาอาการนอนไม่หลับ ทุเลาอาการไอ รวมทั้งยังช่วยลดความร้ายแรงของโรคกรดไหลย้อนได้ด้วย

  1. โสมประเทศเกาหลี

โสมประเทศเกาหลีเป็นที่ยอมรับในวงกว้างว่าเป็นโสมที่ดีเยี่ยมที่สุด เพราะเหตุว่าอัดแน่นไปด้วยคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย เนื่องจากมีสารสำคัญอย่างจินเซนโนไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยบำรุงรักษาสุขภาพโดยตรง อีกทั้งช่วยทำให้เกิดสมดุลร่างกายตามธรรมชาติ ช่วยสนับสนุนแนวทางการทำงานของไต มีส่วนช่วยสำหรับการกำจัดพิษในตับ ช่วยทำนุบำรุงสมอง และก็ระบบประสาท ช่วยสร้างเสริมความจำ ทุเลาความเคร่งเครียด ช่วยลดปริมาณน้ำตาลภายในเลือด แถมยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายแคล่วคล่องว่องไว รวมทั้งยังเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้ผิวพรรณอ่อนกว่าวัยด้วย

 

จะมองเห็นได้ว่า ของกินบางประเภทก็ทำลายสุขภาพ และของกินบางประเภทก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของพวกเราจำนวนมากเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรเลือกกินให้ดี ๆ รวมถึงหมั่นบริหารร่างกาย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

 

สนับสนุนโดย.  lovebet999