bookmark_borderอาหารป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

อาหารป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเราก็ได้มีมาแนะนำอยู่หลายตัวเลยมาเริ่มกันอาหารชนิดแรกกันเลยก็คือ อาหารที่มีแคลเซียมสูง มีการวิจัยว่าอาหารที่มีแคลเซียมสูงสามารถที่จะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดีเลยทีเดียวและอาหารที่มีแคลเซียมสูงมีอะไรบ้างเช่น ผักใบเขียว ปลาตัวเล็กๆที่กินได้ทั้งตัวได้ หรือจะเป็นพวก โยเกิร์ตต่างๆนมต่างๆพวกนี้ก็เป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูง

โดยเราสามารถที่จะทานได้เยอะแยะเลยและที่สำคัญถ้าเราทานแคลเซียมไปแล้วอย่างเดียวเราจะต้องมีวิตามินดีด้วยเพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมวิตามินดีได้จากไหนก็ได้จากแสงอาทิตย์โดยเฉพาะประเทศไทยยแสงอาทิตย์ร้อนแรงมากก็แนะนำว่าช่วง07.00-09.00โมงเช้า หรือว่า ช่วง16.00-17.00โมงเย็นก็จะเป็นแสงอาทิตย์ที่ไม่รุณแรงเกินไปก็ได้ประโยชน์เพียงพอแล้วแหละวันนึงโดนแดดประมาณสัก15นาทีจะได้วิตามินที่เพียงพอ

อาหารชนิดที่สองก็คือ กลุ่มของอาหารที่มีทั้ง ไฟเบอร์และแม็กนีเซียมสูง โดยอาหารในกลุ่มที่มีไฟเบอร์และแม็กนีเซียมสูงจะทำให้การขับถ่านของเราดีอุจจาระของเราก็จะไหลลื่นลงไปเป็นก้อนนดีแล้วอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ถามว่าอาหารพวกนี้คืออะไรก็คือกลุ่มพวกข้างโอ๊ตพวกธัญพืชนั่นเองต่างๆ

สามารถที่จะรับประทานได้หลากหลายเลยแนะนำไฟเบอร์ต่อวันประมาณ90กรัมต่อวันถ้าไม่อยากคำนวณก็ไม่เป็นไรเอาเป็นว่ามื้อนึงของเรามีอาหารอยู่หนึ่งจานเราแบ่งเป็น4ส่วน2ส่วนก็คือไฟเบอร์หรือผักนั่นเองอีก1ส่วนเป็นคาร์โบไฮเดรตก็คือข้าวแป้งอีก1ส่วนนี่เป็นโปรตีนเพราฉะนั้นแล้วในหนึ่งจานของเรากินผักครึ่งจานแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

อาหารอย่างที่สามก็คือ ถั่ว โดยถั่วจะมีทั้งไฟเบอร์ทั้งโปรตีนชนิดดีมีวิตามินบีวิตามินอีพวกนี้เขาจะมีสารที่ชื่อว่า ฟลาโวนอยด์  โดยจะเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดหนึ่งยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดีไม่ใช่เพียงมะเร็งของกลุ่มลำไส้ใหญ่เท่านั้นมะเร็งอะไรมันก็สามารถที่จะลดไม่ใช่รักษา

นอกจากนี้ ลด ในที่นี้หมายถึงว่า เราจะต้องป้องกันก่อนไม่ใช่เป็นแล้วไปกินถั่วมันจะหายแบบนี้ไม่ใช่นะต้องเข้าใจกันให้ดีๆ  กริลแอร์   ก็กินพวกนี้ก็จะได้พวกโปรตีนชั้นดีได้ทั้งไฟเบอร์ต่างๆววิตามินดีต่างๆก็ลองทานกันดู

อาหารชนิดที่สี่ก็คือ ผักผลไม้ที่มีสีสดใส กลุ่มนี้เขาเรียกว่าไฟโตเคมิคอลหมายความว่าเป็นสารอาหารที่มีความเป็นธรรมชาติสูง ซึ่งได้ให้สารอาหารต่างๆได้ดีและมีการวิจัยว่าอาหารที่ใกล้เคียงธรรมชาติถ้าเราทานเข้าไปโดนไม่ปรุงแต่งก็จะทำให้เรามีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับลดอักเสบของร่างกาย

bookmark_borderวิธีสังเกตอาการว่าคุณเป็นโรคเหนื่อยง่ายแล้วหรือยัง?

สำหรับโรคแรก ก็คือ โรคหัวใจวาย หรือ Congesti Heart Failure โรคนี้เกิดขึ้นจากการที่หัวใจของเราทำงานน้อยลงนั่นเองมันอาจจะเกิดปัจจัยต่างๆ  วิธีสังเกตอาการ  ที่มากระทบต่อหัวใจโดยส่วนใหญ่ที่สาเหตุที่พบก็เกิดจากหัวใจขาดเลือดนั่นเองพอหัวใจของเราขาดเลือดนานๆเข้า

หัวใจของเราก็จะทำงาผิดปกติไปทำงานได้น้อยลงพอหัวใจทำงานน้อยลงหัวใจมีหน้าที่ในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงแรงกายมันก็จะทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงร่างกายน้อยลงด้วยเช่นกันก็จะทำให้เราเหนื่อยง่ายไม่ว่าจะออกแรงเดินเข้าห้องน้ำก็เหนื่อยแล้วแค่หยิบขันน้ำขึ้นมาก็เหนื่อยแล้ว

นอกจากนี้แล้วถ้าหัวใจของเราทำงานช้าลงหรือว่าแย่ลงไปเรื่อยๆแล้วพวกน้ำพวกเลือดมันก็จะล้นไปที่ปอดก็จะทำให้มีอาการน้ำท่วมปอดก็จะทำให้นอนราบไม่ได้ขาบวมอันนี้ก็เป็นสัญญาณนึงว่าคุณจะเป็นโรคหัวใจ Congesti Heart Failureแล้วก็ได้ดังนั้นให้รีบไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป

สำหรับโรคที่สอง ก็คือ โรคโลหิตจาง หรือ Anemia ถือได้ว่าเป็นโรคที่พบกันได้บ่อยมาโดยปกติแล้วร่างกายของเราก็จะมีเม็ดเลือดแดงในการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงในส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อเรามีภาวะโลหิตจางก็จะทำให้เม็ดเลือดแดงลดลงเช่นกันออกซิเจนก็จะไปเลี้ยงส่วนต่างๆในร่างกายได้น้อยลงก็จะทำให้คุณเหนื่อยง่ายเวลาออกเหนื่อยนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว

ซึ่งภาวะโลหิตจางพบได้ในใครบ้างส่วนใหญ่ก็จะพบในผู้หญิงเจริญพันธุ์เพราะว่าผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ก็จะมีประจำเดือนยิ่งใครมีประจำเดือนยิ่งใครมีประจำเดือนมาเยอะหรือว่ารอบเดือนมาหลายวันก็จะส่งผลทำให้ภาวะโลหิตจางขาดเหล็กกันได้ง่าย

ดังนั้นก็จะพบในคนที่อายุเยอะก็ได้คนที่มีอายุมากๆก็จะมีเลือดออกในทางเดินอาหารไม่ว่าจะเป็นกระเพาะหรือว่าลำไส้ก็จะทำให้ซีดลงๆก็จะทำให้มีอาการเหนื่อยมากขึ้นนั่นเองแล้วเราจะรู้ได้ง่ายว่าเรามีภาวะซีดแล้วหรือเปล่าก็ดูง่ายๆว่าให้คุณสังเกตที่มือของตัวเอง

หากมือของเราแดงดีแบบนี้ก็ไม่ซีดแล้วหรือว่าให้ดูที่ดวงตาของเราให้หลานหรือว่าลูกดูก็ได้หรือว่าเราดูในกระจกก็ได้ลองกดตาลงมาถ้าข้างในตาของเราแดงดีก็ไม่ซีดปกติแต่ถ้าดูแล้วว่ามันหายไปเลยไม่เป็นสีแดงกลายมาเป็นสีขาวไปเลยอย่างนี้ก็กลายว่าดวงตาของคุณซีดแล้วและร่วมกับว่าคุณมีอาการหอบเหนื่อยง่ายให้รีบไปพบแพทย์อาจจะต้องได้รับการรักษาต่อไป

 

สนับสนุนโดย.    agplus

bookmark_borderเกล็ดความรู้วัคซีนไฟเซอร์

เกล็ดความรู้วัคซีนไฟเซอร์ สำหรับวัคซีน mRNA เราต้องกระตุ้นเพื่อให้เกิดภูมิเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัส covid 19 โดยอาศัย mRNA ฉีดเข้าไปในร่างกายของเราโดย mRNA นี้เป็น รหัสพันธุกรรมของไวรัสโควิด 19 ในช่วงที่มันสามารถเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างโปรตีนของหนามแหลมที่เรารู้จัก

แต่ถ้าหากว่าเราฉีดวัคซีน mRNA เข้าไปโดยตรงอย่างเดียวเข้าไปมันจะโดนร่างกายของเราทำลายจะไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ร่างกายของเราได้ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีไขมันมาหุ้มรอบมันนี่คือลักษณะของ mRNA วัคซีนก็คือมีไขมันมาหุ้มรอบตัว mRNA แล้วก็ฉีดเข้าสู่ร่างกายของเรา

ซึ่งไขมันที่หุ้มรอบจะเป็นตัวนำรหัสพันธุกรรมนี้เข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อเข้าไปกระตุ้นเพื่อให้เกิดโปรตีนหนามแหลมต่อไปเราจะพูดถึงการเก็บวัคซีน วัคซีนไฟเซอร์จะต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิ ลบ 60-80 องศา จะมีอายุยืนยาวจนกระทั่งหมดอายุของวัคซีน

แต่ถ้าหากเก็บไว้ในตู้เย็นธรรมดาอุณหภูมิ 2-8 องศา จะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือนแต่ถ้าหากเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง 25 องศา จะอยู่ได้ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะนำเอามาใช้ฉีดให้กับเราจะต้องนำเอาวัคซีนไฟเซอร์ออกมาวางอยู่ข้างนอก

เพื่อให้เกิดการละลายก่อน2 ชั่วโมงถึงจะทำการผสมด้วยน้ำเกลือขนาด 1.8 cc หลังจากนั้นก็ทำการผสม ในการผสมนั้นห้ามเขย่าแรงต้องมีการพลิกไปพลิกมาประมาณ 10 รอบโดยสีของสารในตัวของวัคซีนจะต้องออกเป็นสีขาวหรือขาวนวลและการผสมห้ามเขย่าแรง เพราะการเขย่าแรงจะเกิดการทำร้ายของตัววัคซีน

หลังจากที่ผสมด้วยน้ำเกลือ 1.8 cc ก็สามารถที่จะฉีดได้โดยคนหนึ่งฉีดได้ 0.3 cc ดังนั้นรวมกันเท่ากับใน 1 ขวดสามารถฉีดได้ 6 คน และหลังจากผสมน้ำเกลือแล้วห้ามทิ้งตัวยาเอาไว้เกิน 6 ชั่วโมง จะทำให้หมดอายุ ดังนั้นหลังจากผสมน้ำเกลือเสร็จแล้วต้องรีบฉีดให้หมดทันที 

การฉีดวัคซีนก็คล้ายกับการฉีดวัคซีนตื่นๆก็คือจะต้องฉีด 2 โดส โดยระยะห่างวัคซีนไฟเซอร์เข็ม 1 กับเข็ม 2 ห่างกันโดยประมาณ 3 สัปดาห์ และต่อมาก็จะเป็นวัคซีนตัวแรกของวัคซีนที่ต่อต้านCovid19 ที่ฉีดได้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12-16 ปี

โดยวัคซีน covid19 ตัวแรก WHO อนุมัติให้เป็นวัคซีนที่สามารถใช้ได้ในยามภาวะปกติในคนที่อายุมากกว่า 16 ปีขึ้นไปแต่ 12-16 ปี ก็ยังถือว่าเป็นวัคซีนที่ใช้ในยามฉุกเฉิน

นอกจากนี้ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์จากการศึกษาในระยะที่ 3 ก็พบว่าวัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าวัคซีนชนิดอื่นๆแต่อย่างไรก็ตามขอแนะนำนิดนึงว่า95% ในตอนนั้นเป็นสายพานก่อนหน้านี้อาจจะเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม 

ดังนั้นอาจจะเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เนื่องจากว่าสถานการณ์ปัจจุบันสายพันธุ์โดยส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์เดลต้า

 

สนับสนุนโดย.    aesexy

bookmark_borderสงสัยตัวเองติดเชื้อหรือยังวิธีดูแลตัวเองที่บ้าน

สำหรับหลายๆคนวันนี้คงจะทราบกันแล้วว่าอาการของโควิด-19มันเป็นยังไง สงสัยตัวเองติดเชื้อ มีอาการอะไรบ้างที่ทำให้เราต้องสงสัยโควิดปัญหาก็คือว่าทีนี่ถ้าคุณไปตรวจได้ก็จะดีถ้าคุณตรวจไม่ได้เพราะว่าที่โรงพยาบาลเขาไม่รับตรวจเนื่องจากว่าเขาไม่มีเตียงพอที่จะรับคนไข้เอาไว้จะต้องทำยังไง

ก่อนอื่นเราต้องอธิบายก่อนที่อเมริกาที่ระบาดมากๆเราก็ไม่ได้รับทุกคนเข้าโรงพยาบาลเพราะว่าเรารู้อยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นทุกคนที่จะต้องใช้ทรัพยากรในโรงพยาบาลถ้าเราทำแบบนั้นแน่นว่าดรงพยาบาลไม่พอบุคคลากรทางการแพทย์ทำงานไม่พอแน่นอน

การรักษาที่บ้านสำหรับคนที่มีอาการน้อยจึงเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำแล้วประเทศไทยอาจจะต้องปรับในส่วนนี้ในอนาคตจะทำให้มีการตรวจเพิ่มขึ้นแล้วก็ถ้าอาการไม่มากก็รักษาตัวที่บ้านได้กักตัวที่บ้านได้ ในกรณีที่เราสงสัยว่ามีการอาการได้กับโครวิดแล้วไม่ได้ตรวจเราจะทำยังไงบ้าง

ดังนั้นถ้าเราโทรไปแล้วเขาไม่รักตรวจไม่รับอะไรเลยวิธีขั้นแรกสุดก็คือถ้าเรารู้ว่าเราเริ่มมีอาการให้เราแยกตัวเองออกมาอยู่ตัวเดียวเช่นในบ้านหากอยู่กันหลายๆคนให้เราไปห้องห้องใดห้องหนึ่งก็ได้อยู่ไปเลยคนเดียวอย่าให้ใครเข้าไปใกล้ห้องนั้นอย่ารับประทานอาหารร่วมกันเด็ดขาดให้จัดอาหารแยกไว้หรือเอามาวางหน้าห้อง

เมื่อเขาไปแล้วเรากค่อยออกมากินหรือเอาเข้าไปกินในห้องของทุกอย่างล้างเองห้ามไปใช้รวมกับเขาแล้วเราใช้เสร็จแล้วเอามาวางหน้าห้องแล้วให้ครอบครัวตักอาหารมาให้แบบนี้เป็นต้นเราจะได้ไม่มีการแพร่เชื้อไปให้คนอื่นการซักเสื้อผ้าเราควรจะแยกต่างหากซักเองจะไปให้คนอื่นซักรวมกับคนอื่นเขา

เพราะว่าบางครั้งเราใส่กระตร้าเดียวกันคนอื่นมาจับคนที่เขาไม่ติดก็มีโอกาสติดกันได้ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาและอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากๆคือห้องน้ำถ้าคุณมีห้องน้ำสองห้องห้องนั้นก็เป็นของคุณไปเลยอย่าไปใช้ร่วมกันแต่ถ้ามีห้องเดียวให้บ่งเวลาใช้ให้ชัดเจน

แน่นอนแล้วว่าให้ทิ้งช่วงเวลาถ้าคุณเข้าไปในห้องน้ำเสร็จออกมาแล้วก็ควรจะเว้นระยะเวลาอย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมงให้อากาศทุกอย่างมันถ่ายเทก่อนเพราะว่าแน่นอนคนเข้าห้องน้ำมันจะมีกี่คนที่จะสวมใส่หน้ากากแล้วแน่นอนว่าตอนอาบน้ำก้ไม่มีใครที่จะใส่หน้ากาก

เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้คนอื่นเขาติดเชื้อมากขึ้นดังนั้นเราควรที่จะทำให้ภายในห้องน้ำมีอากาศถ่ายเทมาที่สุดก่อนที่จะเข้าไปทำภาระกิจ

 

สนับสนุนโดย.    สูตรหวยยี่กี หวยดี

bookmark_borderอาการสร้างภูมิคุ้มกันช่วงโควิด

ซึ่งเราจะมาคุยถึงเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันปัจจัยในช่วง covid 19 ถ้าเราคุยกันถึงโลกไปนี้หรือใครที่ได้ยินข่าว อาการสร้างภูมิคุ้มกันช่วงโควิด ในตอนนี้ก็จะเป็นในส่วนของวัคซีนแต่ว่ามันไม่ใช่มีแค่เพียงทางเดียวมันมีอยู่อีกหลายทางที่เราจะนำมาเสนอ 

อันดับแรกเลยก็คือ ภูมิคุ้มกันที่จมูกปากและก็คอ เพราะว่าจริงๆแล้วเชื้อไวรัส covid-19 นั้นมันไม่ทันกระโดดเข้าไปในเลือดทันทีดังนั้นเชื้อไวรัส covid-19 มันก็จะค่อยๆเข้าไปตามผิวหนังหรือว่าอยู่ตามโต๊ะตามช้อนกินข้าวของเราบ้างเราเอาเข้าปากหรือว่าสูดดมเข้าไปแบบนี้ 

พอเราเอาเข้าปากเสร็จแล้วมันก็จะเข้าไปที่จมูกของเราก่อนเมื่อมันเข้าไปทางจมูกแล้วมันก็จะค่อยๆไล่เข้าไปจนลงเข้าไปถึงปอดของเราเชื้อโรคนั้นมันมีขนาดเล็กมากแต่ระยะเวลามันช่างไกลแสนไกลสำหรับเชื้อโรคนั้นมันไกลมากเชื้อโรคนั้นมันมองไม่เห็นลองคิดดูว่าจากจมูกลงมาหาปอดมันไกลมากเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้นแล้วภูมิคุ้มกันที่ดีมากๆเลยสำหรับป้องกันเชื้อไวรัสโควิด 19 คือช่วงจมูกและปากก่อนที่จะถึงปอดของเราจึงจะต้องมีเมือกที่ดี เมือกในตรงนี้หมายถึงคือน้ำตาน้ำมูกและน้ำลายเราก็เป็นยาฆ่าเชื้อได้เหมือนกันและเมื่อที่คอบริเวณต่อมทอมซินAudit นอยด์โพธิ์ไทรนัดมันจะเป็นเยื่อบางๆที่คอยเราอยู่ตรงบริเวณหลอดอาหารของเราหรือแม้แต่หลอดลมของเราพวกนี้มันก็จะมีเมือกๆเยอะๆหรือแม้แต่ปอดของเรา

โดยเมือกกล่าวนี้มันก็จะเป็นเหมือนยาฆ่าเชื้อและจะมีอาวุธที่เป็นเม็ดเลือดขาวอยู่เยอะมากเลยเอาไว้ฆ่าเชื้อโรคไวรัส covid-19 ได้ ดังนั้นแล้วภูมิคุ้มกันอันดับแรกเลยก็คือที่บริเวณปอดเราจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นของทอดอาหารอะไรที่รับประทานแล้วเจ็บคออย่างเช่นพวกขนมกินเข้าไปแล้วมีความรู้สึกว่าเจ็บคอหรืออาหารที่กินเข้าไปแล้วมีความรู้สึกว่าร้อนในปากในคอน้ำมูกไหลเป็นประจำ

เวลากินอาหารประเภทนี้แล้วมีน้ำมูกไหลอยู่เป็นประจำในระยะนี้ให้คนหลีกเลี่ยงรับประทานของเรานั้นไปก่อนแบบนี้มันไม่โอเคฉะนั้นแล้วอาหารที่กินแล้วมันเกิดสร้างภูมิคุ้มกันที่บริเวณปลอดของเราคือพวกอาหารที่มีวิตามินซีเช่นพวกมะขามป้อมสมอมะขามส้มโอส้มเขียวหวานหรือว่าจะเป็นน้ำมะกรูดจะทำให้ช่วงบริเวณปากและลำคอสะอาดหรือแม้แต่การอมน้ำเกลือก็ฆ่าเชื้อโรคได้ก็จะทำให้เมื่อที่บริเวณป่าของเราดีขึ้นได้

ซึ่งจะทำให้เม็ดเลือดขาวของเราแข็งแรงที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่แค่เพียงเม็ดเลือดขาวอย่างเดียวเม็ดเลือดแดงน้ำเลือดน้ำเหลืองของเราแข็งแรงให้ได้

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  huaydee

bookmark_borderการดูแลตนเองเมื่อติด covid-19  แล้วต้องอยู่บ้าน

        การดูแลตนเองเมื่อติด covid   สถานการณ์ในตอนนี้นั้นประเทศไทยมีจำนวนคนติดเชื้อไวรัส covid พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและสิ่งที่ตามมาก็คือสถานประกอบการโรงพยาบาลต่างๆไม่มีเพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วยที่จะเข้ารักษาอาการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนั้นสิ่งที่เราทำไร่ก็คือทำเรื่องประสานงานขอจองคิวเตรียมเอาไว้

และในระหว่างนั้นก็คือต้องอยู่บ้านกักตัวเองเรามาดูกันว่าถ้าหากเราติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วเราต้องอยู่บ้านเราจะต้องดูแลตัวเองอย่างไรเพื่อไม่ให้เชื้อของเรานั้นแพร่กระจายให้กับคนในครอบครัวของเรา 

วิธีการดูแลตนเองนั้นสามารถทำได้ 3 อย่างด้วยกันโดยแบ่งเป็นแยก งด และทำ 

    สำหรับหัวข้อแยกก็คือคุณจะต้องปลีกตัวของคุณเองออกมาจากทุกคนในครอบครัวเช่นคุณจะต้องอยู่ในห้องของคุณห้ามออกมาเดินนอกห้องอย่างเด็ดขาด ที่สำคัญการอยู่ในห้องนั้นคุณควรจะทำให้อากาศในห้องของคนถ่ายเทด้วยการเปิดหน้าต่างให้ลมโกรกแทนการใช้แอร์และคุณจะต้องใช้เข้าของใช้ส่วนตัวของคุณแยกจากคนอื่น

ไม่ว่าจะเป็นจานชามหรือเสื้อผ้ารวมถึงการเข้าห้องน้ำด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ก็อย่าที่คุณใช้งานแล้วคุณก็ต้องมีการทิ้งได้จากคนในครอบครัวอีกด้วยเรียกว่าการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนนั้นคงจะต้องใช้ทุกอย่างด้วยตัวของคุณคนเดียวห้ามใช้ร่วมกับคนกับคนอื่นหรือแม้แต่ห้ามมานั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันกับคนในครอบครัวของคุณนั่นเอง

       สำหรับหัวข้อต่อมาคืองด  ซึ่งการงดก็คืองวดที่จะออกนอกบ้านไปเจอเพื่อนฝูงงดการนัดพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารงดเดินทางไปไหนมาไหน งดสัมผัสสิ่งของต่างๆที่จะต้องมีการใช้งานร่วมกับคนอื่นเช่นการสัมผัสลิฟท์หรือการจับปากกาเป็นต้น   สำหรับใครก็ตามที่อยู่ห้องเช่าคนเดียวและจำเป็นต้องหาอาหารมากินก็งดออกไปซื้อไปให้ใช้เป็นลักษณะของการเดลิเวอรี่ส่งอาหารมาให้ที่บ้านแทน

         สำหรับหัวข้อต่อมาก็คือถ้า  สิ่งที่คุณทำได้เวลาที่คุณต้องปรับตัวเองอยู่ที่บ้านก็คือคนใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่คุณต้องเจอกับคนในครอบครัวของคุณเองและคุณจำเป็นที่จะต้องล้างมือบ่อยๆเมื่อหยิบจับสิ่งของทุกครั้งที่ล้างมือจะต้องมีการล้างด้วยน้ำสบู่และที่สำคัญถ้าคุณเข้าห้องน้ำเมื่อขับถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว

คุณจะต้องมีการทำความสะอาดห้องน้ำทุกครั้งพักผ่อนให้เพียงพอดื่มน้ำสะอาดเยอะๆและที่สำคัญกินอาหารให้มีประโยชน์ครบ 5 หมู่แน่นอนว่าคุณจะต้องมีการตรวจวัดไข้ของคุณเองโดยคุณควรพกที่ตรวจวัดไข้ติดตัวอยู่ตลอดเวลาหาอะไรทำระหว่างที่รอรถจากโรงพยาบาลมารับ ไม่พยายามทำให้ตัวเองเครียดเพียงแค่นี้คุณก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติแล้ว

 

สนับสนุนโดย.  หวยดี

bookmark_borderสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับวิตามินซีก่อนกิน 

    สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับวิตามินซีก่อนกิน ก่อนที่เราจะทานวิตามินซีนั้นเราควรจะต้องรู้เกี่ยวกับวิตามินซีเบื้องต้นก่อนเพื่อที่เราจะได้ทานวิตามินซีได้อย่างถูกต้องและส่งผลดีต่อร่างกายของเราซึ่งสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องของวิตามินซีมีเพียง 3 ข้อใหญ่ๆเท่านั้นนั่นก็คือ

     ข้อเสียจากการทานวิตามินซีมากเกินไป 

โดยถ้าหากเรากินวิตามินซีมากเกินไปนั้นเราจะมีอาการอาการปวดท้อง  หรือไม่ก็แสบท้องบางคนอาจจะมีอาการอาเจียนร่วมด้วย  เพราะโดยปกติแล้วเราไม่ควรกินวิตามินซีเกิน 3000 มิลลิกรัมต่อวันเพราะส่วนที่เกินมานั้นร่างกายไม่สามารถดูดซึมเอาไว้ใช้งานได้ต้องมีการขับถ่ายทิ้งออกมาทางปัสสาวะอยู่แล้ว ส่วนสาเหตุที่ทำให้เราปวดท้องหรือแสบท้องจากการวิตามินซีมากเกินไปนั่นก็เพราะว่าโดยปกติและวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรดถึงแม้ว่าจะเป็นกรดอ่อนๆแต่ถ้ามีปริมาณที่มากก็สามารถส่งผลต่อกระเพาะอาหารของเราได้นั่นเอง 

       สำหรับวิตามินซีนั้นเราสามารถได้มาจากธรรมชาติได้

ซึ่งก็เกิดจากการที่เรากินผักหรือผลไม้นั่นเองแต่ถ้าหากเราต้องการเสริมสร้างคุณสมบัติอื่นๆให้เพิ่มมากขึ้นอย่างเช่นสร้างภูมิคุ้มกันให้คนที่เป็นหวัดนั้นหายเร็วหรืออยากจะช่วยให้ดูแลเกี่ยวกับเรื่องของผิวพรรณเราสามารถกินวิตามินซีเสริมได้ส่วนการกินนั้นเราต้องกินวิตามินซีระหว่างมื้ออาหารเพื่อที่วิตามินซีนั้นจะได้ไม่เข้าไปกัดกระเพาะอาหารของเราหรือทางที่ดีที่สุดกินอาหารเสร็จแล้วก็รีบกินวิตามินซีตามไปเลยก็ได้ 

              ที่สำคัญนั้นการเลือกทานวิตามินซีนั้นไม่ควรที่จะเลือกทานวิตามินซีที่มี มิลลิกรัม มากจนเกินไปเพราะท้ายที่สุดแล้วร่างกายของเรานั้นก็สามารถดูดซึมได้น้อยอยู่แล้ว ต่อให้เรากินวิตามินซีเยอะมากแค่ไหนร่างกายของเราก็ดูดหมดยิ่งเรากินวิตามินซีในปริมาณมากเท่าไหร่ร่างกายของเราก็ดูดซึมได้น้อยยกตัวอย่างเช่นถ้าหากเรากินวิตามินซีปริมาณ 3000 mg ร่างกายของเราก็จะดูดซึมได้แค่ประมาณ 10 % เพียงเท่านั้น

หรือถ้าหากเรากินวิตามินซีในปริมาณ 2000 มิลลิกรัมร่างกายของเราก็จะดูดซึมได้แค่เพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเรียกว่ายิ่งกินวิตามินซีที่มีปริมาณมากก็จะยิ่งดูดซึมได้น้อยลงนั่นเอง ดังนั้นเราควรกินวิตามินซีในปริมาณที่ mg น้อยๆเพื่อที่ร่างกายของเราจะได้ดูดซึมได้ทั้งหมดไม่ต้องขับออกทิ้งจากร่างกาย

             แล้วถ้าหากอยากจะให้ได้ผลดีจากการกินวิตามินซีก็ควรจัดเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เย็นหรืออุณหภูมิห้องไม่ควรจัดเก็บไว้ในที่ร้อนและไม่ควรให้วิตามินซีถูกแสงแดดเพราะจะทำให้สารอาหารของวิตามินซีนั้นเสื่อมสภาพลง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เว็บหวย จ่าย บาทละ 97

bookmark_borderกินกึ่งสุกกึ่งดิบ เน้นกินรสจัด ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

ของกินกึ่งสุกกึ่งดิบ

กินกึ่งสุกกึ่งดิบ ของกินที่ปรุงไม่สุกมักจะมีความเสี่ยงต่อการมีพยาธิ แล้วก็เชื้อโรคต่าง ๆที่อยู่ในอาหาร ไม่มีความร้อนในการจัดการ ฆ่าเชื้อ จะเพิ่มการเสี่ยงส่งผลให้เกิดโรคพยาธิ รวมทั้งกลายเป็นโรคทางเดินอาหาร ได้อีกด้วย

การเลือกกินอาหารรสจัดต่าง ๆ มากเกินความจำเป็น

– ของกินรสหวาน เมื่อรับประทานอาหารที่มีรสหวานบ่อย ๆ ก็จะก่อให้เกิดเบาหวาน ด้วยเหตุว่าการได้รับน้ำตาลเยอะเกินไป ร่างกายจะไม่อาจควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ และก็จะมีผลให้ร่างกายได้รับพลังงานมากจนเกินไป ทำให้เกิดโรคอ้วน และก็เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคไตได้อีกด้วย

– ของกินรสเผ็ดจัด ก็ทำให้มีการเกิดการระคายเคืองในกระเพาะได้อย่างเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ของกินรสเผ็ด พวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ ผงชูรส ซึ่งมีโซเดียมอยู่เยอะ จึงมีโอกาสเสี่ยงสำหรับการเป็นโรคไต

– ของกินรสเค็ม เมื่อร่างกายมีจำนวนโซเดียมจากเกลือสูงขึ้น ร่างกายจะขับออกทางฉี่ นำมาซึ่งการทำให้พวกเรารู้สึกคอแห้ง หิวน้ำ ร้อนใน และอาจเป็นมากถึงขนาดสภาวะขาดน้ำได้ นอกเหนือจากนี้ รสเค็มจะมีผลให้เลือดภายในร่างกายไหลเวียนช้าทำให้ภาวะความดันโลหิตสูง

– ของกินรสเปรี้ยว ทำให้เสี่ยงท้องเสีย เป็นร้อนในได้ง่าย ๆ และก็ระบบน้ำเหลืองมีปัญหา ก็เลยทำให้แผลหายช้า

อาหารบำรุงสุขภาพ

  1. มานูก้าฮันนี่ หรือน้ำผึ้งมานูก้า

เป็นน้ำผึ้งแท้ 100% จากนิวซีแลนด์ที่ถูกเรียกว่า เป็นน้ำผึ้งที่เหมาะสมที่สุดในโลก โดยจากการศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำผึ้งมานูก้ามีคุณลักษณะที่เหนือกว่าน้ำผึ้งทั่ว ๆ ไปสำหรับเพื่อการบำรุงผิว ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยต้านทานแบคทีเรียแล้วก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งกว่านั้นในน้ำผึ้งมานูก้ายังประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 16 จำพวก รวมถึงแร่ต่าง ๆ จำนวนมาก ก็เลยมีส่วนช่วยสำหรับการเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยทำให้เกิดสมดุลในระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร แก้ท้องผูก บำรุงเลือด บรรเทาอาการนอนไม่หลับ ทุเลาอาการไอ รวมทั้งยังช่วยลดความร้ายแรงของโรคกรดไหลย้อนได้ด้วย

  1. โสมประเทศเกาหลี

โสมประเทศเกาหลีเป็นที่ยอมรับในวงกว้างว่าเป็นโสมที่ดีเยี่ยมที่สุด เพราะเหตุว่าอัดแน่นไปด้วยคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย เนื่องจากมีสารสำคัญอย่างจินเซนโนไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยบำรุงรักษาสุขภาพโดยตรง อีกทั้งช่วยทำให้เกิดสมดุลร่างกายตามธรรมชาติ ช่วยสนับสนุนแนวทางการทำงานของไต มีส่วนช่วยสำหรับการกำจัดพิษในตับ ช่วยทำนุบำรุงสมอง และก็ระบบประสาท ช่วยสร้างเสริมความจำ ทุเลาความเคร่งเครียด ช่วยลดปริมาณน้ำตาลภายในเลือด แถมยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายแคล่วคล่องว่องไว รวมทั้งยังเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้ผิวพรรณอ่อนกว่าวัยด้วย

 

จะมองเห็นได้ว่า ของกินบางประเภทก็ทำลายสุขภาพ และของกินบางประเภทก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของพวกเราจำนวนมากเลยทีเดียว ดังนั้นจึงควรเลือกกินให้ดี ๆ รวมถึงหมั่นบริหารร่างกาย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

 

สนับสนุนโดย.  lovebet999

bookmark_borderทำอย่างไรจึงจะหลับสนิทตลอดทั้งคืน

ทำอย่างไรจึงจะหลับสนิทตลอดทั้งคืน สมัยนี้การจะนอนหลับสนิทได้ตลอดทั้งคืนเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เพราะบางคนเพียงแค่ได้ยินเสียงเบา ๆ ก็ตื่นแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น การนอนไม่หลับ การนอนหลับไม่สนิท หรือ การนอนแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัญหาหนักของใครหลาย ๆ คน

โดยอาจส่งผลเสียมายังสุขภาพร่างกายของเราได้ บางคนมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผิวพรรณ ใต้ตาหมองคล้ำ  ไม่ว่าจะทำทุกวิถีทางก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ได้ แต่รู้หรือไม่ว่า ยังวิธีการที่สามารถช่วยให้คุณนั้นหลับสนิทได้ตลอดทั้งคืน และวันนี้เราก็จะมาแนะนำวิธีการที่จะช่วยให้คุณนั้นจบปัญหาการนอนไม่หลับ

การนอนหลับไม่สนิท หรือแม้แต่การนอนแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ วันนี้เรามีคำตอบ  ทำอย่างไรจึงจะหลับสนิทตลอดทั้งคืน  มาฝากกันค่ะ ซึ่งก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณนั้นหลับสนิทตลอดทั้งคืน อีกทั้งยังตื่นมาแล้วรู้สึกสดชื่นมากขึ้นอีกด้วย จะมีวิธีการไหนบ้างไปดูกันเลย 

  • การกินกล้วยหอม รู้หรือไม่ว่าการกินกล้วยหอมนั้นสามารถช่วยให้การนอนหลับของเรานั้นดีมากยิ่งขึ้น เพราะผิวของกล้วยนั้นสามารถออกฤทธิ์ได้เทียบเท่ากับยานอนหลับเลยก็ว่าได้ หากเรารับประทานเป็นประจำ หรือเลือกรับปะทานก่อนการเข้านอนทุกวัน ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราหลับง่ายและหลับสนิทเท่านั้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยลดอาการเครียด ทำให้สมองปลอดโปร่งได้อีกด้วย
  • การปรับเปลี่ยนห้องนอน การมีห้องนอนที่น่านอนนั้นสามารถช่วยให้เรานอนหลับสบายมากขึ้น ลองคิดดูนะว่าทำไมเรานอนไม่หลับ อาจจะเป็นเพราะว่าห้องนอนของเราที่รกรุงรังเกินไปหรือเปล่า ฉะนั้น ลองปรับเปลี่ยนสภาพห้อง เปลี่ยนผ้าปู หรือการจัดระเบียบห้องใหม่ให้น่าอยู่และน่านอนมากขึ้น เพียงแค่นี้ การอาจทำให้การนอนของคุณนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจนอนหลับสนิทมากขึ้นตลอดทั้งคืนก็ได้ 
  • การฝึกนอนให้เป็นเวลา การที่เราฝึกร่างกายให้ชินจะช่วยให้เรามีพฤติกรรมการนอนดีมากขึ้น ดังนั้น หากใครที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืนกันอยู่บ่อย นอกจากการที่ต้องปรับเปลี่ยนห้องนอนให้น่านอนมากขึ้น หรือการรับประทานอาหารที่สามารถช่วยกระตุ้นให้การนอนหลับของเรานั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น การฝึกเข้านอนให้ตรงเวลาอยู่ตลอด ก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายเราค่อย ๆ เกิดความชิน ละนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืนนั่นเอง ทั้งนี้ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็สามารถช่วยให้การนอนของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

สนับสนุนโดย.    u12

bookmark_borderรู้จักน้ำมันปลา และประโยชน์ดี ๆ ต่อสุขภาพ

รู้จักน้ำมันปลา โดยน้ำมันปลา เป็นสิ่งที่ได้จากไขมันจากเยื่อของปลาบางประเภท ไม่ว่าจะเป็น ปลาทูน่า รวมทั้งปลาแซลมอน มีผู้คนจำนวนมากบางทีอาจไม่รู้ว่าน้ำมันปลานั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพร่างกาย ด้วยเหตุว่า น้ำมันปลาเป็นสารอาหารประเภทไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งสกัดได้จากส่วนของปลาสมุทรบางประเภท 

สาระสำคัญในน้ำมันปลาที่มีคุณประโยชน์ต่อสภาพร่างกายเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เรียกว่า omega-3 น้ำมันปลาที่มีภาวะเป็นน้ำมันบริสุทธิ์จะมีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง โดยเฉพาะ omega-3 นี้มีประมาณร้อยละ 20 ของจำนวนกรดไขมันทั้งสิ้น

กรดไขมันไม่อิ่มตัว omega-3  มีกรดไขมันหลัก 2 ตัวได้แก่ DHA รวมทั้ง EPA ซึ่งมีผลต่อกลไกแนวทางการทำปฏิกิริยาระดับ metabolism ที่เกี่ยวข้องกับดีเอ็นเอ ที่มีผลต่อการผลิตแล้วก็ซ่อมเซลล์ หรือบางครั้งอาจจะบอกได้ว่า EPA ปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวให้พลังงานกับเซลล์ 

รู้จักน้ำมันปลา ส่วน DHA จะปฏิบัติหน้าที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อห่อหุ้มเซลล์ เพราะเหตุว่าร่างกายไม่สามารถที่จะทำขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากของกินแค่นั้น

 

น้ำมันปลาดีต่อร่างกายยังไง?

ข้อดีของน้ำมันปลาที่โดดเด่น คือ omega-3 เป็นที่น่าสนใจว่าร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถที่จะผลิตไขมันชนิดนี้เองได้ และไม่สามารถกลั่น omega-3 acid จากกรดไขมัน omega-6ได้ การวิจัยจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องกรดไขมันอีพีเอแล้วก็ดีเอชเอ ซึ่งเป็นกรด omega-3 ซึ่งทั้งสองประเภทมักรวมอยู่ในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปลา

กรดไขมัน omega-3 ช่วยลดความอาการอักเสบ อาการบวม น้ำมันปลาก็เลยใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินหรือตาแห้งได้ โดยกรดไขมันพวกนี้ยังลดโอกาสในการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งจะมีคุณค่าและเป็นผลดีกับภาวการณ์หัวใจบางชนิด

ประโยชน์จากน้ำมันปลา ที่เป็นผลดีต่อสุขภาพที่เป็นที่น่าสนใจในตอนนี้ คือ 

– ช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนัก 

ความอ้วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสะสมไขมันเกินความจำเป็น แบบไม่ปกติหรือมากเกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถนำมาใช้แล้วกำจัดออกไปได้ และก็อาจก่อให้เกิดโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวานประเภทที่ 2 และก็โรคมะเร็งได้อีกด้วย ซึ่งคนที่มีสภาวะอ้วนจำเป็นต้องลดหุ่นด้วยการควบคุมของกินแล้วก็บริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ มีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยหนึ่งที่ชี้ว่าการบริโภคน้ำมันปลาบางทีอาจช่วยลดการเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในคนอ้วน ยิ่งไปกว่านี้ งานศึกษาทำการค้นคว้าบางชิ้นยังบอกว่าการบริโภคน้ำมันปลาพร้อมกันไปกับการควบคุมของกินรวมทั้งการบริหารร่างกายบางทีอาจช่วยทำให้ลดความอ้วนเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

นอกจากนี้น้ำมันปลายังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมาก ตัวอย่างเช่น ช่วยเรื่องสายตา ช่วยเรื่องผิวพรรณ ช่วยเรื่องกระดูก ลดการสั่งสมไขมันในตับ รวมทั้งสมาธิสั้นในเด็ก ทั้งมีประโยชน์ในผู้ที่ตั้งครรภ์

 

สนับสนุนโดย.  หวยออนไลน์บาทละ 1000